Log in or Sign up
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
Forums
>
Community Car Clubs
>
Nissan Car Clubs
>
NV Club
>
น้ำมันแพงเกี่ยวข้องกับค่าการกลั่นหรือไม่???
>
Reply to Thread
Name:
Verification:
Please enable JavaScript to continue.
Loading...
Message:
<p>[QUOTE="tae_nissannv, post: 675861, member: 67842"]น้ำมันแพงเป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนทั้งประเทศ เป็นต้นกำเนิดของปัญหาสารพัดทั้งเศรษฐกิจ,สังคมและการเมือง รวมถึงความสามารถทางการแข่งขันของไทยในตลาดโลก ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของเดือน พ.ค.ที่ 7.6 % นับว่าสูงที่สุดในรอบ 10 ปีซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ขึ้นกันอย่างไม่หยุดหย่อน เงินเฟ้อขณะนี้จึงนับเป็นสัญญาณอันตรายที่สั่นคลอนเสถียรภาพของชาติโดยตรง</p><p> </p><p> ใครได้ใครเสียจากวิกฤติน้ำมันแพง??? จึงนับเป็นคำถามยอดฮิตในปัจจุบัน ที่บริษัทน้ำมันไทยๆมักตอบว่าเป็นผลของกลุ่มโอเปกที่ขึ้นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่ผู้ค้าน้ำมันไทยก็พยายามช่วยเหลือด้วยการลดค่าการตลาดของปั๊มค้าปลีกจนขาดทุนแล้ว แต่สิ่งที่หายไปจากคำชี้แจงนี้ก็คือกำไรในส่วนของการกลั่นที่ไม่เคยถูกเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่ามีรายละเอียดอย่างไร โดยตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับกำไรของการกลั่นน้ำมันมี4 ส่วนด้วยกัน ดังนี้ คือ 1) ราคาน้ำมันดิบ 2) เทคโนโลยีของโรงกลั่น 3) ค่าเงินบาท และ 4) ค่าการกลั่น</p><p> </p><p> สำหรับราคาน้ำมันดิบนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าได้ไต่ราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมักเป็นเหตุผลเดียวที่ถูกบริษัทน้ำมันไทยนำมากล่าวอ้างได้อย่างสะดวกปากในการขึ้นราคา แต่ในความเป็นจริงยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าสนใจ อันได้แก่ ชนิดของน้ำมันดิบซึ่งมีความแตกต่างกันของราคาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ Light Sweet ที่มีราคาแพง และ Heavy Sour ที่มีราคาถูกกว่า โรงกลั่นไทยนำเข้าน้ำมันดิบประเภท Heavy Sour ซึ่งมาจากตะวันออกกลางถึงกว่า 75% ที่เหลือจึงเป็นน้ำมันดิบ Light Sweet เพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ น้ำมันดิบที่เราใช้กันอยู่ยังมาจากสัมปทานราคาถูกบนแผ่นดินไทยอีก 21% ดังนั้น ต้นทุนน้ำมันดิบของธุรกิจพลังงานไทยจึงถูกกว่าหลายประเทศ นอกจากนี้โรงกลั่นในไทยเช่น ไทยออยล์ ยังมีเทคโนโลยีชั้นสูงสามารถกลั่นน้ำมันดิบคุณภาพต่ำที่มีราคาถูกให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงได้ตามความต้องการของตลาด</p><p> </p><p> ประเด็นต่อมาคือเรื่องของค่าเงินก็น่าสนใจไม่น้อย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาค่าเงินในหลายประเทศได้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์ซึ่งเป็นค่าเงินที่ใช้ในการซื้อขายน้ำมันดิบ สำหรับค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 28% มาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งน่าจะส่งผลในเชิงบวกต่อการนำเข้าน้ำมันดิบได้ถูกลง แต่ในทางปฏิบัติกลับมีผลต่อราคาในประเทศน้อยมาก ดังนั้นปัญหาน้ำมันแพงที่เกิดขึ้นกับคนไทยปัญหาหลักจึงน่าจะเกิดจากต้นทุนแฝงที่อยู่ในโครงสร้างธุรกิจน้ำมันไทยเอง โดยเฉพาะค่าการกลั่นที่มักถูกเปิดเผยอย่างครึ่งๆกลางๆ วันนี้เราคงจะต้องมาเจาะลึกถึงค่าการกลั่นว่าเกี่ยวข้องกับปัญหาน้ำมันแพงหรือไม่???</p><p> </p><p> ช่วงก่อนปี 2539 โรงกลั่นไทยมีกำลังการกลั่นไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ทำให้ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันในภมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นที่มาว่าทำไมผู้กำกับนโยบายพลังงานจึงให้อิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นกับตลาดแห่งนี้ จึงเป็นการอิงกับต้นทุนการนำเข้าโดยตรงซึ่งฟังแล้วก็มีเหตุผลดี</p><p> </p><p> แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือในปัจจุบันประเทศไทยหมดความจำเป็นในการพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากตลาดสิงคโปร์แล้วเนื่องจากหลังปี 2539 โรงกลั่นไทยมีกำลังการกลั่นน้ำมันสูงขึ้นอยู่ในระดับล้นเกิน โดยไทยจะต้องส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปมากว่า 11 ปีแล้ว แต่โรงกลั่นไทยก็ยังใช้ราคานำเข้าจากสิงคโปร์เป็นราคาอ้างอิงในการขายน้ำมันในประเทศมาโดยตลอด ทำให้ราคาหน้าโรงกลั่นนี้ปราศจากความเกี่ยวข้องกับต้นทุนที่แท้จริงของโรงกลั่น และที่สำคัญราคาส่งออกให้ต่างชาติก็ถูกกว่าราคาที่ขายให้คนไทยอยู่มากโข ซึ่งราคานำเข้าและส่งออกจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้</p><p> </p><p> 1.กรณีนำเข้า ในอดีตที่ไทยนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ โดยต้นทุนการจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปจะคำนวณจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆในการดำเนินการขนส่งสิงคโปร์-กรุงเทพฯ อันได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าประกันความเสียหาย ค่าปรับปรุงคุณภาพให้ตรงกับมาตรฐานของไทย และค่าโสหุ้ยอื่นๆ รวมแล้วจะตกอยู่ในราว 3-4 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะแตกต่างกันตามชนิดของน้ำมัน</p><p> </p><p> 2.กรณีส่งออก ตั้งแต่ปี 2539 โรงกลั่นไทยมีกำลังการกลั่นมากกว่าความต้องการใช้ในประเทศ ทำให้ต้องส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปส่วนเกินไปขายยังต่างประเทศ โดยราคาขายจะคำนวณจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์หักด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆในการส่งออก ทั้งนี้เพื่อให้น้ำมันที่ขายเมื่อมีการขนส่งจริงจะมีราคารวมเท่ากับราคาที่ตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นราคาที่โรงกลั่นไทยสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้</p><p> </p><p> ธุรกรรมทั้งสองจึงมีความแตกต่างกันที่การบวกเข้าหรือหักออกของค่าใช้จ่ายต่างๆในการดำเนินการขนส่งระหว่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจก็คือปัจจุบันที่ประเทศไทยมีกำลังการกลั่นกว่าล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันอยู่ที่ 700,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้ไทยต้องส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเมื่อไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปแล้ว เรายังควรใช้ราคานำเข้าในการตั้งราคาขายหน้าโรงกลั่นต่อไปอีกหรือไม่???</p><p> </p><p> จากหนังสือชี้ชวนของโรงกลั่นที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่า โรงกลั่นจะกำหนดราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศด้วยราคาเทียบเท่าราคานำเข้า(Import Parity)</p><p> </p><p> ราคาขายในประเทศ = ราคาสิงคโปร์ + ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์(ที่ไม่เกิดขึ้นจริง)</p><p> และส่งออกด้วยด้วยราคาเทียบเท่าราคาส่งออก (Export Parity)</p><p> ราคาขายต่างประเทศ = ราคาสิงคโปร์ ค่าใช้จ่ายในการส่งออกน้ำมันไปสิงคโปร์</p><p><br /></p><p> </p><p><img src="http://pics.manager.co.th/Images/551000007202801.JPEG" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p> </p><p> </p><p> จากตัวอย่างจะพบประเด็นที่สำคัญดังนี้</p><p> </p><p> 1.ราคาขายน้ำมันสำเร็จรปให้คนในประเทศหน้าโรงกลั่นไทยได้รวมเอาต้นทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงคือค่าใช้จ่ายต่างๆในการดำเนินการขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย(ค่าขนส่ง+ค่าประกันความเสียหาย+ค่าปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน+ค่าโสหุ้ยอื่นๆ)เข้าไปด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยหากเห็นโรงกลั่นเหล่านี้มีกำไรกันอ้วนท้วนกว่าโรงกลั่นในต่างประเทศ การกำหนดราคาน้ำมันที่ขายภายในประเทศตามราคา Import Parity นี้จึงเป็นประเด็นที่น่าคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือไม่ ยิ่งไปกว่านี้ การกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นนี้ยังใช้กับน้ำมันดิบที่มาจากแหล่งในประเทศไทยเองอีกด้วย !!!</p><p> </p><p> 2.จำนวนเงินที่โรงกลั่นไทยได้รับจากคนไทยต่อ 1 ลิตรนั้นสูงกว่าที่โรงกลั่นไทยได้รับจากคนต่างชาติ ดังนั้นจึงเป็นแรงจูงใจให้โรงกลั่นต้องการขายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศให้มากที่สุด ซึ่งก็น่าจะทำให้เกิดการแข่งขันของโรงกลั่นและทำให้ราคาขายในประเทศลดลงไปใกล้ราคาส่งออก Export Parity ได้ ซึ่งจะลดลงแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับการแข่งขันของโรงกลั่นนั่นเอง แต่ปัจจุบันธุรกิจโรงกลั่นส่วนใหญ่ได้ตกอยู่ในมือผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่รายเดียว โดยมีอำนาจในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เหนือกำลังการกลั่นกว่า 80% ของประเทศ มีผลให้กลไกตลาดของธุรกิจการกลั่นน้ำมันไทยกลายเป็นมายาคติภายใต้การควบคุมของบริษัทพลังงาน ผู้บริโภคจึงต้องจำยอมจ่ายค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงนี้อยู่ต่อไป (และคงเป็นเหตุผลว่าทำไมโรงกลั่นเหล่านี้จึงยอมลดค่าการกลั่นลงได้อย่างง่ายดายหลังจากมีแรงกดดันจากสังคม ผนวกกับการร้องขอของ รมต.พลังงาน)</p><p> </p><p> ประเด็นดังกล่าวคงเป็นเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมที่ผู้ค้าน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่มีธุรกิจน้ำมันครบวงจร สามารถเล่นบทพ่อพระที่ยอมแบกภาระต้นทุนค่าการตลาดในธุรกิจปั๊มค้าปลีกที่ต่ำเตี้ยติดดินได้ โดยตุนกำไรไว้แล้วในค่าการกลั่นและปล่อยให้ปั๊มค้าปลีกที่ไม่มีโรงกลั่นหนุนหลังต้องถูกบีบค่าการตลาด ซ้ำยังต้องตกเป็นจำเลยของสังคม นับเป็นกลยุทธ์อันแหลมคมที่นอกจากจะได้หน้าแล้วยังเชือดส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกน้ำมันของคู่แข่งได้แบบนิ่มๆอีกด้วย</p><p> --------------------------------------------------------------------------------------------------------</p><p>โดย ทิวากร ณ กรุงเทพฯ (Divakorn@hotmail.com) </p><p><a href="http://www.manager.co.th" target="_blank" class="externalLink ProxyLink" data-proxy-href="http://www.manager.co.th" rel="nofollow">http://www.manager.co.th</a>[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="tae_nissannv, post: 675861, member: 67842"]น้ำมันแพงเป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนทั้งประเทศ เป็นต้นกำเนิดของปัญหาสารพัดทั้งเศรษฐกิจ,สังคมและการเมือง รวมถึงความสามารถทางการแข่งขันของไทยในตลาดโลก ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของเดือน พ.ค.ที่ 7.6 % นับว่าสูงที่สุดในรอบ 10 ปีซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ขึ้นกันอย่างไม่หยุดหย่อน เงินเฟ้อขณะนี้จึงนับเป็นสัญญาณอันตรายที่สั่นคลอนเสถียรภาพของชาติโดยตรง ใครได้ใครเสียจากวิกฤติน้ำมันแพง??? จึงนับเป็นคำถามยอดฮิตในปัจจุบัน ที่บริษัทน้ำมันไทยๆมักตอบว่าเป็นผลของกลุ่มโอเปกที่ขึ้นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่ผู้ค้าน้ำมันไทยก็พยายามช่วยเหลือด้วยการลดค่าการตลาดของปั๊มค้าปลีกจนขาดทุนแล้ว แต่สิ่งที่หายไปจากคำชี้แจงนี้ก็คือกำไรในส่วนของการกลั่นที่ไม่เคยถูกเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่ามีรายละเอียดอย่างไร โดยตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับกำไรของการกลั่นน้ำมันมี4 ส่วนด้วยกัน ดังนี้ คือ 1) ราคาน้ำมันดิบ 2) เทคโนโลยีของโรงกลั่น 3) ค่าเงินบาท และ 4) ค่าการกลั่น สำหรับราคาน้ำมันดิบนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าได้ไต่ราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมักเป็นเหตุผลเดียวที่ถูกบริษัทน้ำมันไทยนำมากล่าวอ้างได้อย่างสะดวกปากในการขึ้นราคา แต่ในความเป็นจริงยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าสนใจ อันได้แก่ ชนิดของน้ำมันดิบซึ่งมีความแตกต่างกันของราคาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ Light Sweet ที่มีราคาแพง และ Heavy Sour ที่มีราคาถูกกว่า โรงกลั่นไทยนำเข้าน้ำมันดิบประเภท Heavy Sour ซึ่งมาจากตะวันออกกลางถึงกว่า 75% ที่เหลือจึงเป็นน้ำมันดิบ Light Sweet เพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ น้ำมันดิบที่เราใช้กันอยู่ยังมาจากสัมปทานราคาถูกบนแผ่นดินไทยอีก 21% ดังนั้น ต้นทุนน้ำมันดิบของธุรกิจพลังงานไทยจึงถูกกว่าหลายประเทศ นอกจากนี้โรงกลั่นในไทยเช่น ไทยออยล์ ยังมีเทคโนโลยีชั้นสูงสามารถกลั่นน้ำมันดิบคุณภาพต่ำที่มีราคาถูกให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงได้ตามความต้องการของตลาด ประเด็นต่อมาคือเรื่องของค่าเงินก็น่าสนใจไม่น้อย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาค่าเงินในหลายประเทศได้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์ซึ่งเป็นค่าเงินที่ใช้ในการซื้อขายน้ำมันดิบ สำหรับค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 28% มาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งน่าจะส่งผลในเชิงบวกต่อการนำเข้าน้ำมันดิบได้ถูกลง แต่ในทางปฏิบัติกลับมีผลต่อราคาในประเทศน้อยมาก ดังนั้นปัญหาน้ำมันแพงที่เกิดขึ้นกับคนไทยปัญหาหลักจึงน่าจะเกิดจากต้นทุนแฝงที่อยู่ในโครงสร้างธุรกิจน้ำมันไทยเอง โดยเฉพาะค่าการกลั่นที่มักถูกเปิดเผยอย่างครึ่งๆกลางๆ วันนี้เราคงจะต้องมาเจาะลึกถึงค่าการกลั่นว่าเกี่ยวข้องกับปัญหาน้ำมันแพงหรือไม่??? ช่วงก่อนปี 2539 โรงกลั่นไทยมีกำลังการกลั่นไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ทำให้ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันในภมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นที่มาว่าทำไมผู้กำกับนโยบายพลังงานจึงให้อิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นกับตลาดแห่งนี้ จึงเป็นการอิงกับต้นทุนการนำเข้าโดยตรงซึ่งฟังแล้วก็มีเหตุผลดี แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือในปัจจุบันประเทศไทยหมดความจำเป็นในการพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากตลาดสิงคโปร์แล้วเนื่องจากหลังปี 2539 โรงกลั่นไทยมีกำลังการกลั่นน้ำมันสูงขึ้นอยู่ในระดับล้นเกิน โดยไทยจะต้องส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปมากว่า 11 ปีแล้ว แต่โรงกลั่นไทยก็ยังใช้ราคานำเข้าจากสิงคโปร์เป็นราคาอ้างอิงในการขายน้ำมันในประเทศมาโดยตลอด ทำให้ราคาหน้าโรงกลั่นนี้ปราศจากความเกี่ยวข้องกับต้นทุนที่แท้จริงของโรงกลั่น และที่สำคัญราคาส่งออกให้ต่างชาติก็ถูกกว่าราคาที่ขายให้คนไทยอยู่มากโข ซึ่งราคานำเข้าและส่งออกจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้ 1.กรณีนำเข้า ในอดีตที่ไทยนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ โดยต้นทุนการจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปจะคำนวณจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆในการดำเนินการขนส่งสิงคโปร์-กรุงเทพฯ อันได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าประกันความเสียหาย ค่าปรับปรุงคุณภาพให้ตรงกับมาตรฐานของไทย และค่าโสหุ้ยอื่นๆ รวมแล้วจะตกอยู่ในราว 3-4 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะแตกต่างกันตามชนิดของน้ำมัน 2.กรณีส่งออก ตั้งแต่ปี 2539 โรงกลั่นไทยมีกำลังการกลั่นมากกว่าความต้องการใช้ในประเทศ ทำให้ต้องส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปส่วนเกินไปขายยังต่างประเทศ โดยราคาขายจะคำนวณจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์หักด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆในการส่งออก ทั้งนี้เพื่อให้น้ำมันที่ขายเมื่อมีการขนส่งจริงจะมีราคารวมเท่ากับราคาที่ตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นราคาที่โรงกลั่นไทยสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ ธุรกรรมทั้งสองจึงมีความแตกต่างกันที่การบวกเข้าหรือหักออกของค่าใช้จ่ายต่างๆในการดำเนินการขนส่งระหว่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจก็คือปัจจุบันที่ประเทศไทยมีกำลังการกลั่นกว่าล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันอยู่ที่ 700,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้ไทยต้องส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเมื่อไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปแล้ว เรายังควรใช้ราคานำเข้าในการตั้งราคาขายหน้าโรงกลั่นต่อไปอีกหรือไม่??? จากหนังสือชี้ชวนของโรงกลั่นที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่า โรงกลั่นจะกำหนดราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศด้วยราคาเทียบเท่าราคานำเข้า(Import Parity) ราคาขายในประเทศ = ราคาสิงคโปร์ + ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์(ที่ไม่เกิดขึ้นจริง) และส่งออกด้วยด้วยราคาเทียบเท่าราคาส่งออก (Export Parity) ราคาขายต่างประเทศ = ราคาสิงคโปร์ ค่าใช้จ่ายในการส่งออกน้ำมันไปสิงคโปร์ [IMG]http://pics.manager.co.th/Images/551000007202801.JPEG[/IMG] จากตัวอย่างจะพบประเด็นที่สำคัญดังนี้ 1.ราคาขายน้ำมันสำเร็จรปให้คนในประเทศหน้าโรงกลั่นไทยได้รวมเอาต้นทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงคือค่าใช้จ่ายต่างๆในการดำเนินการขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย(ค่าขนส่ง+ค่าประกันความเสียหาย+ค่าปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน+ค่าโสหุ้ยอื่นๆ)เข้าไปด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยหากเห็นโรงกลั่นเหล่านี้มีกำไรกันอ้วนท้วนกว่าโรงกลั่นในต่างประเทศ การกำหนดราคาน้ำมันที่ขายภายในประเทศตามราคา Import Parity นี้จึงเป็นประเด็นที่น่าคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือไม่ ยิ่งไปกว่านี้ การกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นนี้ยังใช้กับน้ำมันดิบที่มาจากแหล่งในประเทศไทยเองอีกด้วย !!! 2.จำนวนเงินที่โรงกลั่นไทยได้รับจากคนไทยต่อ 1 ลิตรนั้นสูงกว่าที่โรงกลั่นไทยได้รับจากคนต่างชาติ ดังนั้นจึงเป็นแรงจูงใจให้โรงกลั่นต้องการขายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศให้มากที่สุด ซึ่งก็น่าจะทำให้เกิดการแข่งขันของโรงกลั่นและทำให้ราคาขายในประเทศลดลงไปใกล้ราคาส่งออก Export Parity ได้ ซึ่งจะลดลงแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับการแข่งขันของโรงกลั่นนั่นเอง แต่ปัจจุบันธุรกิจโรงกลั่นส่วนใหญ่ได้ตกอยู่ในมือผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่รายเดียว โดยมีอำนาจในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เหนือกำลังการกลั่นกว่า 80% ของประเทศ มีผลให้กลไกตลาดของธุรกิจการกลั่นน้ำมันไทยกลายเป็นมายาคติภายใต้การควบคุมของบริษัทพลังงาน ผู้บริโภคจึงต้องจำยอมจ่ายค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงนี้อยู่ต่อไป (และคงเป็นเหตุผลว่าทำไมโรงกลั่นเหล่านี้จึงยอมลดค่าการกลั่นลงได้อย่างง่ายดายหลังจากมีแรงกดดันจากสังคม ผนวกกับการร้องขอของ รมต.พลังงาน) ประเด็นดังกล่าวคงเป็นเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมที่ผู้ค้าน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่มีธุรกิจน้ำมันครบวงจร สามารถเล่นบทพ่อพระที่ยอมแบกภาระต้นทุนค่าการตลาดในธุรกิจปั๊มค้าปลีกที่ต่ำเตี้ยติดดินได้ โดยตุนกำไรไว้แล้วในค่าการกลั่นและปล่อยให้ปั๊มค้าปลีกที่ไม่มีโรงกลั่นหนุนหลังต้องถูกบีบค่าการตลาด ซ้ำยังต้องตกเป็นจำเลยของสังคม นับเป็นกลยุทธ์อันแหลมคมที่นอกจากจะได้หน้าแล้วยังเชือดส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกน้ำมันของคู่แข่งได้แบบนิ่มๆอีกด้วย -------------------------------------------------------------------------------------------------------- โดย ทิวากร ณ กรุงเทพฯ (Divakorn@hotmail.com) [url]http://www.manager.co.th[/url][/QUOTE]
Log in with Facebook
Log in with Twitter
Log in with Google
Your name or email address:
Do you already have an account?
No, create an account now.
Yes, my password is:
Forgot your password?
Stay logged in
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
Forums
>
Community Car Clubs
>
Nissan Car Clubs
>
NV Club
>
น้ำมันแพงเกี่ยวข้องกับค่าการกลั่นหรือไม่???
>
X
Home
Home
Quick Links
Recent Posts
Recent Activity
Authors
Forums
Forums
Quick Links
Search Forums
Recent Posts
Classifieds
Classifieds
Quick Links
Search Classifieds
Recent Activity
Top Rated Traders
Media
Media
Quick Links
Search Media
New Media
Members
Members
Quick Links
Notable Members
Registered Members
Current Visitors
Recent Activity
New Profile Posts
Menu
Search titles only
Posted by Member:
Separate names with a comma.
Newer Than:
Search this thread only
Search this forum only
Display results as threads
Useful Searches
Recent Posts
More...